วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561
เคล็ดลับเรียนกฎหมาย ทำยังไงให้สอบได้ที่ 1 ในทุกสนามสอบ
เนติบัณฑิต บอกเล่าความสำเร็จ "นักกฎหมาย"
โดย พรพรรณ จิตติวัธน์
การเป็น "เนติบัณฑิต" อาจง่ายสำหรับบางคนและอาจยากสำหรับบางคน จะง่ายหรือยาก เป็นเรื่องของ เทคนิคในการเรียนรู้ ซึ่งการเป็นเนติบัณฑิตเองก็มีเทคนิคไปสู่ความสำเร็จเช่นกันกับอาชีพอื่นๆ จากประสบการณ์ความสำเร็จของเนติบัณฑิต 5 คน
เขาเหล่านั้นมีโอกาสมาเล่าถึงความสำเร็จให้ฟัง เริ่มจากเนติบัณฑิตสมัยที่ 52 วิวัฒน์ ว่องวิวัฒน์ไวทยะ ปัจจุบันเป็นผู้พิพากษาชั้นต้น ประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
สอบเนติบัณฑิตสมัยของตัวเองได้ที่ 1 และยังสอบเป็นอัยการได้ที่ 1 อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ-พอสอบผู้พิพากษายังได้ที่ 1 อีก วิวัฒน์เล่าให้ฟังว่า
เริ่มแรกสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นคนไม่ใช่เด็กเรียน และไม่ใช่คนเก่ง "ตอนที่เรียนรามคำแหง ผมแทบไม่เคยเข้าชั้นเรียน อาศัยการที่เรามีใจรักที่จะเรียนกฎหมาย เพราะการเรียนกฎหมายให้ได้ดีต้องเริ่มที่มีใจรักก่อน จากนั้นก็เป็นเรื่องของการอ่านหนังสือ การเรียนในห้องเรียน ซึ่งการอ่านหนังสือนั้นต้องมีเทคนิค อย่าคิดว่ามาเรียนกฎหมายแล้วเรียนแบบให้ผ่านๆ ไป แบบนั้นไม่ถูกต้องและไม่ดีแน่ๆ..."
วิวัฒน์บอกว่า เมื่อมีใจรักจะเรียนกฎหมาย ซึ่งต้องรักจริงๆ รักในตัวบทกฎหมาย ไม่ใช่หลอกตัวเพื่อไปตามแฟชั่น ต้องคิดว่าตัวเองรักแล้วจริงๆ หรือยัง ถ้ายังไม่มากก็ต้องปลูกฝังให้เกิดความรัก พยายามมีความฝัน
"...วิธีเรียนของผมจะใช้การดูจากข้อสอบเก่าย้อนหลังไป 20 สมัย อ่านจากข้อสอบพวกนั้น ทั้งนี้ การดูข้อสอบเก่าเป็นเหมือนลายแทงในการดูหนังสือ และเป็นแนวทางในการเตรียมตัวสอบ ที่สำคัญเมื่ออ่านหนังสือ หรือเรียนกลับมาบ้านแล้ว ต้องทบทวนทันที ตามทฤษฎีหากปล่อยเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวัน ความรู้หายไปทันที 50% และเมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ความรู้ก็จะหายไป 90%..."
วิวัฒน์บอก ดังนั้น เขาจึงใช้การทบทวนสิ่งที่เรียนมาทันทีที่กลับถึงบ้าน ซึ่งการทบทวนเช่นนั้นทำให้ความรู้และสามารถจดจำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไปอีก 2 สัปดาห์ และยิ่งทบทวนต่อไปอีกก็จะอยู่นานถึง 1 เดือน
"บางคนอ่านหนังสือแล้วง่วง ผมแนะนำว่าถ้าง่วงก็ให้นอนเลย เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะแก้ง่วงได้ นอนสัก 3 ชั่วโมงแล้วค่อยกลับมาอ่านต่อ ซึ่งจะดีกว่า และอย่าลืมออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงด้วย ไม่ใช่นั่งจ่อมอยู่กับหนังสือตลอดเวลา..."
บางคนอ่านแล้วไม่จำ-ทำอย่างไร?
วิวัฒน์บอกว่า การไม่จำเพราะไม่ใส่ใจ
"...การอ่านหนังสือเราต้องเอาใจใส่เข้าไปในตัวหนังสือด้วย มีสมาธิกับมัน ต้องเข้าถึงมัน อย่าไปคิดว่าอ่านไปเรื่อยๆ ให้จบแต่อ่านแล้วไม่รู้เรื่องก็ไม่ได้ผล"
การเรียนกฎหมายเรื่องของ "การอ่าน" เป็นเรื่องสำคัญ เป็นหัวใจของวิชานี้ก็ว่าได้ เพราะตัวบทกฎหมายนั้นต้องใช้วิธีการท่องจำอย่างมาก การท่องจำจึงต้องมีสมาธิและความเข้าใจ วิธีเรียนของคนแรกผ่านไป มาถึง
พัฒนาพร โกวพัฒนกิจ เนติบัณฑิตสมัยที่ 55 ปัจจุบันเป็นอาจารย์ระดับ 4 ภาควิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายธุรกิจ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พัฒนาพร เป็นอีกคนที่บอกว่าเป็นคนเรียนไม่เก่ง และไม่ค่อยมีสมาธิ แต่ที่ประสบความสำเร็จเพราะตนเองมีความเชื่อมั่นและความตั้งใจ
"เกิดมาไม่เคยสอบได้ที่ 1 มาก่อนเลย เพิ่งจะมาสอบได้ที่ 1 เนติบัณฑิตนี่แหละ เพราะที่ผ่านมาเคยคิดแต่ว่าเรียนพอให้ผ่านๆ ก็พอ"
หญิงสาวกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ เธอบอกว่า เคยคิดว่าคนที่เข้ามาสอบเนติฯมีตั้ง 2-3 หมื่นคน แต่มีคนที่ตั้งใจมาสอบจริงๆ ไม่กี่คน และคิดว่าถ้าเราตั้งใจดี สิ่งที่ดีๆ ก็จะส่งผลถึงเรา
"เหมือนกับที่เรียนช่วงแรกๆ ไม่ค่อยอะไรมาก พอต่อมาเราตั้งใจ เป็นความตั้งใจว่ายังไงเราต้องเรียนให้จบ พอเรามีความตั้งใจแล้ว เราก็ลงมือทำ และเมื่อทำไปแล้วเคยท้อถอยนะ...แต่ก็ต้องอดทน และเคยคิดว่าเราเป็นหุ่นยนต์จนไม่อยากเรียนไม่อยากทำอะไร แต่สักพักก็คิดได้ว่าถ้าทำอะไรก็ต้องทำให้สำเร็จ คือคิดว่าต้องมีวินัยในตนเอง คืออดทน ขยัน และต้องมีความสม่ำเสมอ...แล้วมันก็ไม่ยาก"
เธอบอกว่า ถ้าคิดอย่างนี้แล้วเชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้ และหากใครมีความขยัน เธอว่าความตั้งใจจะทำให้ความขยันตามมา สำหรับเทคนิคในการอ่านตำราของเธอนั้น เธอบอกว่าไม่ต่างจากคนอื่นมากนัก
"เทคนิค...ก็...ในเรื่องของการอ่าน เริ่มอ่านคำบรรยายเก่าๆ ก่อน เอาคำบรรยายเก่ามาศึกษา เพราะมีข้อดีตรงที่ทำให้เราได้เปรียบกว่าคนอื่น เราสามารถอ่านได้จบก่อนคนอื่น อีกทั้งคอยพยายามติดตามคำบรรยายใหม่ที่ออกมาด้วย เพื่อนำมาศึกษาเปรียบเทียบ ในส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลง จากนั้นจดบันทึกเอาไว้...
"...อ่านรอบแรกยังไม่ค่อยจำหรอกค่ะ เพราะจะเป็นแบบขอให้ได้อ่าน พอขึ้นรอบสองเริ่มจดบันทึก และจับใจความสำคัญในเรื่องที่อ่าน จากนั้นเขียนเป็นภาษาของตนเองที่เข้าใจ และที่สำคัญคือ ต้องไม่เครียด อีกอย่างเวลาที่ง่วงควรหาเพื่อนคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน และเทคนิคที่สำคัญสำหรับคนจะไปสอบเนติฯ คือ
โค้งสุดท้ายก่อนสอบสองสัปดาห์ให้เอาข้อสอบเก่ามาอ่าน ไม่ต้องลนลานเวลาทำข้อสอบ
" พัฒนาพรมีเทคนิคส่วนตัวที่ใครจะเอาแบบอย่างก็ได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ คือ ตื่นนอน 6 โมงเช้าเพื่อไปทำบุญตักบาตรก่อนจะไปสอบ เพราะทำแบบนั้นแล้วใจสงบและสบายใจ
มาถึงเรื่องราวของเนติบัณฑิตสมัยที่ 57
กมลวรรณ ปริสัญโญดม ทนายความบริษัทสำนักงานกฎหมายเบญจมาอภัยวงศ์ จำกัด
เล่าว่า เป็นคนที่เรียนหนังสืออยู่ในระดับปานกลาง อีกทั้งเป็นคนสมาธิสั้น จึงเข้าเรียนทุกครั้ง เนื่องจากเวลาที่อาจารย์สอนนั้น จะทำให้ทราบว่าตรงไหนคือส่วนสำคัญ เพราะอาจารย์จะเน้นย้ำ และทำให้สามารถจดจำได้ ซึ่งแตกต่างกับที่มานั่งอ่านเอาเอง
"แต่ก่อนมีความเชื่อว่าการจะประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในการสอบเนติฯ จำเป็นต้องเรียนเก่งและต้องมีสมองเป็นเลิศ ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่เลย อยู่ที่ความตั้งใจมากกว่า ตอนที่ยังเรียนอยู่จะพยายามเข้าเรียนทุกวันเรียนกับเพื่อน เป็นคนที่เข้าเรียนตลอดและสม่ำเสมอ ที่สำคัญในการเรียนคือ ฟังอาจารย์เสร็จ อ่านหนังสือแล้วต้องทำเป็นแบบสรุปของตัวเองออกมา เขียนเป็นภาษาของตัวเอง เพราะทำให้เราเข้าใจได้มากขึ้นและจำได้ และเวลาอ่านหนังสือจะจดบันทึกประโยคที่มีความสำคัญจริงๆ และลักษณะของการอ่านจะอ่านแบบสะสม"
กมลวรรณบอกว่า การเร่งอ่านหนังสือช่วงใกล้สอบไม่ใช่วิธีการของเธอ
"เพราะจะทำให้เหนื่อย และเกิดความล้าเกินไป แต่จะจัดแบ่งเวลาในการอ่านอย่างน้อยวิชาละ 1 วัน โดยเริ่มจากทบทวนคำบรรยายก่อน จากนั้นเอาข้อสอบเก่ามาอ่าน และดูว่า 20 ปีข้อสอบออกอะไรมาบ้าง สามารถที่จะตอบประเด็นไหนบ้าง และการทบทวนตัวบทกฎหมาย ต้องตีความไปทีละคำ เพื่อให้เกิดเข้าใจว่ามาตรานี้หมายความว่าอย่างไร ควรจำเฉพาะมาตราหลักๆ ที่สำคัญ และควรอ่านให้เกิดความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่การท่องจำ"
กมลวรรณกล่าว กมลวรรณแนะนำว่า เทคนิคการตอบข้อสอบในเรื่องของมาตราต่างๆ นั้น คือ ควรจำหลักสำคัญๆ ของมาตรานั้นๆ และตอบเฉพาะหลักสำคัญของมาตรานั้นที่ข้อสอบถาม
"คือ เราต้องจำหลักสำคัญของมาตรานั้นๆ ที่เราเห็นว่าสำคัญ และเอาเฉพาะช่วงที่เป็นหลักสำคัญของมาตรานั้นๆ ที่ข้อสอบถามและตอบลงไป เพราะเวลากรรมการตรวจข้อสอบ เขาจะดูว่าเราเข้าใจมาตรานี้จริงๆ และเข้าใจว่าอย่างไร ต้องการสื่ออะไร
อ้อ...แล้วอย่าลืมก่อนวันสอบให้ไปสวดมนต์ไหว้พระ เพื่อทำสมาธิ และตื่นเช้าๆ"
เนติบัณฑิตสมัยที่ 58 ญาดา วรรณไพโรจน์ เจ้าหน้าที่ประจำองคมนตรี ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร
เล่าให้ฟังถึงการเป็นนักเรียนกฎหมาย ว่าความจริงเป็นคนไม่ขยันมากนัก แต่ชอบเข้าห้องเรียนตลอด เพราะการเข้าห้องเรียนช่วยทำให้มีแนวทางในการสอบ "การอ่านข้อสอบเก่า และการท่องตัวบทกฎหมาย ล้วนมีความสำคัญ แต่เราต้องวิเคราะห์อย่างคนมีสามัญสำนึกด้วยเช่นกัน อีกทั้งควรออกกำลังกาย กินอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะมีส่วนสำคัญทำให้เรามีสมาธิที่ดี"
เทคนิคของญาดา
คือเข้าเรียนช่วง 3 สัปดาห์สุดท้าย เพราะอาจารย์จะเก็งข้อสอบก่อนสอบให้ จากนั้นตั้งใจท่องตัวบท และอ่านข้อสอบเก่า
เทคนิคการตอบข้อสอบคือ ตอบไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ ควรตอบให้รู้เรื่องว่าข้อสอบถามอะไร โดยตอบด้วยความเข้าใจ และมีเหตุมีผล
"อย่าลืมว่าเรื่องของสมาธิสำคัญที่สุด อย่าเครียดมาก อย่ากังวล และถ้าเป็นไปได้ให้สวดมนต์ก่อนเข้าสอบเพราะช่วยทำให้เรามีสมาธิดี หรือจะนั่งสมาธิ 30 นาทีก่อนสอบก็ได้ไม่ว่ากัน..."
มาถึงเรื่องราวของ ภวิศร์ เชาวลิตถวิล เนติบัณฑิตสมัยที่ 59
ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายบริษัท สมชาย คอนสตัคชั่น แอนด์ ดิวิลอปเม้นท์ จำกัด
เล่าว่าเวลาเรียนจะไม่เข้าเรียนทุกคาบ แต่ต้องมีวินัยในตนเอง คือจัดเวลาเรียน และจัดเวลาในการอ่านหนังสือด้วย ภวิศร์บอกว่า อาจารย์ในความคิดของตนมี 3 คน คือ
อาจารย์ผู้สอน
อาจารย์ตนเอง คือต้องมีวินัยในตนเอง
และอาจารย์เพื่อน เพราะเวลาที่ไม่เข้าใจสามารถปรึกษาหารือสอบถามเพื่อนได้ และเพื่อนยังสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน และยังช่วยให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
"ที่ขาดไม่ได้คือ เมื่ออ่านคำบรรยายเสร็จแล้ว จำเป็นต้องทบทวนเสมอ โดยเวลาอ่าน ควรอ่านหลายๆ รอบเพื่อทำให้สามารถจดจำได้ และควรจำเป็นเรื่องๆ พยายามจดบันทึกไว้ว่ามีมาตราอะไรที่สำคัญ พยายามจับใจความสำคัญของแต่ละเรื่องที่อ่าน และในบางเรื่องที่เราคิดว่าไม่สำคัญก็อ่านไปด้วย แต่เป็นการอ่านแบบผ่านๆ เพื่อนำไปใช้ในการตอบข้อสอบซึ่งสามารตอบลงไปได้ด้วย"
เทคนิคของภวิศร์มีว่า
เวลาอ่านประมวลกฎหมาย อย่าคิดว่าต้องท่องประมวลฯ เพราะจะทำให้ง่วง
"ที่เป็นเทคนิคส่วนตัว...คือเวลาดูหนังดูละคร หรือมีสถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น มักจะคิดตามไปด้วยว่าตามหลักของกฎหมายแล้ว ความน่าจะเป็นนั้นเป็นอย่างไร
แล้วผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นควรออกมาในลักษณะไหน อย่างไร ถึงเรียกว่าถูกต้อง และตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม"
แต่ละคนต่างมีมุมมองในการผ่านด่าน ที่กว่าจะออกมาเป็นนักกฎหมายเต็มตัวแตกต่างกันไป--แต่ที่ไม่แตกต่างกันเลย
คือ เรื่องของความรักและความตั้งใจจะมาเป็นนักกฎหมาย ทั้ง 5 คนต่างเชื่อว่าเนติบัณฑิตต้องมีคุณสมบัติความพร้อมทั้งกายและใจรัก มีความหนักแน่น มั่นใจในตัวเอง ที่สำคัญมีสามัญสำนึกในตนเอง
เพราะ สามัญสำนึก คือหัวใจของนักกฎหมาย เป็นสามัญสำนึกที่ ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นธรรม ต้องยึดมั่นในสิ่งนี้ให้ได้ "นักกฎหมาย" เปรียบเหมือนวิศวกรสังคม เพราะนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ต้องมีนักกฎหมายเข้าไปขับเคลื่อน ฉะนั้นถ้าวิศวกรวางโครงสร้างอาคารบ้านเรือนไม่ดี อาคารบ้านเรือนก็พังลงมา เหมือนกับนักกฎหมายวางโครงสร้างสังคมไม่ดี ประเทศชาติก็พังได้ ทั้ง 5 คนฝากไว้ทิ้งท้าย ว่า เรียนกฎหมายนั้นง่ายที่สุดในโลก แต่การนำกฎหมายไปใช้นั้นก็ยากที่สุดในโลกเช่นกัน
Cr / http://oknation.nationtv.tv/blog/juristicedome/2008/10/14/entry-1
วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561
สรุปย่อวิชานิติปรัชญา ตอนที่ 2
สำนักความคิดในทางกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง (School of Positive Law)
1. ความหมาย
คำในภาษาอังกฤษที่เรียกว่า “positive law” นั้น เรียกกันหลายอย่างในภาคภาษาไทย เช่น “กฎหมายปฏิฐาน” บ้าง “กฎหมายที่เคร่งครัด” บ้าง “กฎหมายของรัฐที่บังคับใช้” บ้าง “กฎหมายส่วนบัญญัติ” บ้าง แต่รวมแล้วก็มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ กฎหมายที่ทางการตราขึ้นบังคับใช้ในบ้านเมือง ซึ่งจะขอเรียกเสียใหม่ในคำบรรยายนี้ว่า “กฎหมายบ้างเมือง”
สำนักความคิดทางกฎหมายบ้านเมือง มีความเห็นว่า การใช้กฎหมายต้องใช้ตามตัวบทกฎหมายนั้นเองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องดูบทนิยามศัพท์ของกฎหมาย
2. กำเนิดและวิวัฒนาการ
สำนัก ความคิดทางกฎหมายบ้านเมือง เกิดขึ้นจากวัตถุประสงค์ที่ว่าต้องการให้กฎหมายมีข้อความแน่นอนตายตัว เพื่อว่าจะได้เป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของราษฎร บุคคลที่ประกอบกิจการต่าง ๆ จะได้รู้ล่วงหน้าว่าผลแห่งกิจการของตนในทางกฎหมายเป็นอย่างไร สำนักความคิดนี้ไม่สนใจในคุณธรรมและจริยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมและจริยธรรมในกฎหมาย ด้วยเหตุนี้นักกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองจึงถือว่ากฎหมายของรัฐที่บังคับใช้เป็น กฎหมายที่สมบูรณ์ใช้การได้จริง (valid) โดยไม่ต้องพิจารณาว่าขัดกับกฎหมายธรรมชาติหรือไม่ แท้จริงแล้ว นักกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองไม่สนใจว่ามีกฎหมายธรรมชาติอยู่จริงหรือไม่และไม่สนใจว่ากฎหมายของรัฐที่บังคับใช้จะยุติธรรมชอบธรรม และสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมหรือหาไม่ (Positive Law….is something ascertainable and valid without regard to subjective considerations. Hence it must be regarded as separate from morals)
พระเจ้าจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งโรมทรงจัดทำประมวลกฎหมายที่เรียกกันว่า “Corpus Juris Civilis” ขึ้น ก็เพื่อจะให้เป็นกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองที่ยิ่งยิ่งเหนือกฎหมายใด ๆ ในขณะนั้น ข้อนี้แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันระหว่างสำนักความคิดทางกฎหมายธรรมชาติและสำนักความคิดทางกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง ซึ่งมีวิวัฒนาการตลอดมา
ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา สำนักกฎหมายธรรมชาติรุ่งเรืองมาก ทั้งนี้ก็ด้วยอิทธิพลของนักบุญโธมัส อไควนัส ในสมัยกลาง และปรัชญาเมธีคนอื่น ๆ ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยานั้นเอง แต่ในขณะเดียวกันได้มีปรัชญาเมธีคนสำคัญผู้หนึ่งเขียนวรรณกรรมคัดค้านสำนักกฎหมายธรรมชาติอย่างรุนแรง ผู้นั้นคือโธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbs) นักปรัชญาชาวอังกฤษผู้เรียนเรียงเรื่อง “เลวิเอธัน” (Leviatham) ฮอบส์ถือว่ากฎหมายสำคัญกว่าคุณธรรมและจริยธรรมฮอบส์ให้ความเห็นว่า รัฏฐาธิปัตย์ (sovereign) เป็นบุคคลสำคัญซึ่งสามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกำราบปราบปรามผู้แข็งข้อ หรือทำลายความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้โดยไม่ต้องพิเคราะห์ว่า รัฏฐาธิปัตย์นั้นได้อำนาจมาจากไหน และโดยวิธีทางใด ความคิดนี้ฮอบส์คงได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรมในต้นสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาของมา ดิอาเวลลีเรื่อง “เจ้า” (The Prince) ฮอบส์กล่าวว่าราษฎรจะต้องยอมรับอำนาจการปกครองของผู้ที่ได้ชัยชนะ ถ้ารัฏฐาธิปัตย์คนก่อนไม่สามรรถปกป้องราษฎรได้อีก ใครที่โค่นล้มรัฏฐาธิปัตย์คนก่อนได้ และมีอำนาจขึ้นแทนที่ย่อมเป็นรัฏฐาธิปัตย์คนใหม่ที่ราษฎรจะต้องยอมรับนับถือปรัชญาข้อนี้มีอิทธิพลมากในทางการเมือง และระบบกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐาน “ขบถ” ในเวลาต่อมา ได้มีผู้วิจารณ์ปรัชญาของฮอบส์ว่า “เป็นต้นแบบความคิดของนักกฎหมายสกุลหนึ่ง ซึ่งรวมตลอดมาถึงประเทศไทยที่ไม่สนใจในทางจริยธรรมอื่นใด ยิ่งไปกว่าพื้นฐานทางอำนาจของผู้ปกครองรัฐเท่านั้น”
ฮอบส์ได้อธิบายต่อไปอีกด้วยว่า สิ่งซึ่งเป็นสากล (Jus generale) นั้นไม่มี แม้คุณธรรมทั้งหลายก็ไม่มีตัวตนเอง หากแต่เป็นสิ่งที่คนอื่นเรียกขานขึ้นเท่านั้น เช่นทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนั้ชั่ว ล้วนแต่เป็นเรื่องที่คนอื่นเรียกทั้งสิ้น สำหรับฮอบส์แล้วคนที่มีอำนาจเรียกได้อย่างถูกต้อง และต้องถือว่าเป็นความเห็นที่ยุติคือ “รัฏฐาธิปัตย์” คำอธิบายข้อนี้เห็นจะตรงกับสุภาษิตโบราณของไทยที่ว่า “ของสิ่งใดเจ้าว่างามต้องตามเจ้า ใครเลยเล่าจะไม่งามตามเสด็จ”
หลักจากสมัยฮอบส์เป็นต้นมา ผู้นิยมในสำนักความคิดทางกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ อาทิเช่น จอห์น ออสติน เป็นต้น ออสตินเป็นศาสตราจารย์ทางปรัชญากฎหมายซึ่งไม่ยอมเชื่อในกฎหมายธรรมชาติ และสิทธิธรรมชาติออสตินกล่าวว่า กฎหมายคือคำสั่งคำบัญชาของรัฏฐาธิปัตย์ซึ่งสั่งแก่ราษฎรทั้งหลาย ถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม ผู้นั้นต้องรับโทษา
อิมมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant) และ แฮนส์ เคลเส้น (Hans Kelsen) เป็นนักปรัชญากฎหมายยุโรปตะวันออกในยุคหลังที่มีส่วนทำให้กฎหมายฝ่ายบ้านเมืองมีอิทธิพลมากขึ้น โดยค้านท์ตั้งทฤษฎีเด็ดขาด (The Absolute Theory) และเคลเส้นตั้งทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ (The Pure Law Theory) ขึ้นอธิบายขยายความสำนักความคิดทางกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองให้พิสดารออกไปยิ่งขึ้น
Cr / http://tayucases.blogspot.com/2011/02/blog-post_1108.html
1. ความหมาย
คำในภาษาอังกฤษที่เรียกว่า “positive law” นั้น เรียกกันหลายอย่างในภาคภาษาไทย เช่น “กฎหมายปฏิฐาน” บ้าง “กฎหมายที่เคร่งครัด” บ้าง “กฎหมายของรัฐที่บังคับใช้” บ้าง “กฎหมายส่วนบัญญัติ” บ้าง แต่รวมแล้วก็มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ กฎหมายที่ทางการตราขึ้นบังคับใช้ในบ้านเมือง ซึ่งจะขอเรียกเสียใหม่ในคำบรรยายนี้ว่า “กฎหมายบ้างเมือง”
สำนักความคิดทางกฎหมายบ้านเมือง มีความเห็นว่า การใช้กฎหมายต้องใช้ตามตัวบทกฎหมายนั้นเองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องดูบทนิยามศัพท์ของกฎหมาย
2. กำเนิดและวิวัฒนาการ
สำนัก ความคิดทางกฎหมายบ้านเมือง เกิดขึ้นจากวัตถุประสงค์ที่ว่าต้องการให้กฎหมายมีข้อความแน่นอนตายตัว เพื่อว่าจะได้เป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของราษฎร บุคคลที่ประกอบกิจการต่าง ๆ จะได้รู้ล่วงหน้าว่าผลแห่งกิจการของตนในทางกฎหมายเป็นอย่างไร สำนักความคิดนี้ไม่สนใจในคุณธรรมและจริยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมและจริยธรรมในกฎหมาย ด้วยเหตุนี้นักกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองจึงถือว่ากฎหมายของรัฐที่บังคับใช้เป็น กฎหมายที่สมบูรณ์ใช้การได้จริง (valid) โดยไม่ต้องพิจารณาว่าขัดกับกฎหมายธรรมชาติหรือไม่ แท้จริงแล้ว นักกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองไม่สนใจว่ามีกฎหมายธรรมชาติอยู่จริงหรือไม่และไม่สนใจว่ากฎหมายของรัฐที่บังคับใช้จะยุติธรรมชอบธรรม และสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมหรือหาไม่ (Positive Law….is something ascertainable and valid without regard to subjective considerations. Hence it must be regarded as separate from morals)
พระเจ้าจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งโรมทรงจัดทำประมวลกฎหมายที่เรียกกันว่า “Corpus Juris Civilis” ขึ้น ก็เพื่อจะให้เป็นกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองที่ยิ่งยิ่งเหนือกฎหมายใด ๆ ในขณะนั้น ข้อนี้แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันระหว่างสำนักความคิดทางกฎหมายธรรมชาติและสำนักความคิดทางกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง ซึ่งมีวิวัฒนาการตลอดมา
ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา สำนักกฎหมายธรรมชาติรุ่งเรืองมาก ทั้งนี้ก็ด้วยอิทธิพลของนักบุญโธมัส อไควนัส ในสมัยกลาง และปรัชญาเมธีคนอื่น ๆ ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยานั้นเอง แต่ในขณะเดียวกันได้มีปรัชญาเมธีคนสำคัญผู้หนึ่งเขียนวรรณกรรมคัดค้านสำนักกฎหมายธรรมชาติอย่างรุนแรง ผู้นั้นคือโธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbs) นักปรัชญาชาวอังกฤษผู้เรียนเรียงเรื่อง “เลวิเอธัน” (Leviatham) ฮอบส์ถือว่ากฎหมายสำคัญกว่าคุณธรรมและจริยธรรมฮอบส์ให้ความเห็นว่า รัฏฐาธิปัตย์ (sovereign) เป็นบุคคลสำคัญซึ่งสามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกำราบปราบปรามผู้แข็งข้อ หรือทำลายความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้โดยไม่ต้องพิเคราะห์ว่า รัฏฐาธิปัตย์นั้นได้อำนาจมาจากไหน และโดยวิธีทางใด ความคิดนี้ฮอบส์คงได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรมในต้นสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาของมา ดิอาเวลลีเรื่อง “เจ้า” (The Prince) ฮอบส์กล่าวว่าราษฎรจะต้องยอมรับอำนาจการปกครองของผู้ที่ได้ชัยชนะ ถ้ารัฏฐาธิปัตย์คนก่อนไม่สามรรถปกป้องราษฎรได้อีก ใครที่โค่นล้มรัฏฐาธิปัตย์คนก่อนได้ และมีอำนาจขึ้นแทนที่ย่อมเป็นรัฏฐาธิปัตย์คนใหม่ที่ราษฎรจะต้องยอมรับนับถือปรัชญาข้อนี้มีอิทธิพลมากในทางการเมือง และระบบกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐาน “ขบถ” ในเวลาต่อมา ได้มีผู้วิจารณ์ปรัชญาของฮอบส์ว่า “เป็นต้นแบบความคิดของนักกฎหมายสกุลหนึ่ง ซึ่งรวมตลอดมาถึงประเทศไทยที่ไม่สนใจในทางจริยธรรมอื่นใด ยิ่งไปกว่าพื้นฐานทางอำนาจของผู้ปกครองรัฐเท่านั้น”
ฮอบส์ได้อธิบายต่อไปอีกด้วยว่า สิ่งซึ่งเป็นสากล (Jus generale) นั้นไม่มี แม้คุณธรรมทั้งหลายก็ไม่มีตัวตนเอง หากแต่เป็นสิ่งที่คนอื่นเรียกขานขึ้นเท่านั้น เช่นทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนั้ชั่ว ล้วนแต่เป็นเรื่องที่คนอื่นเรียกทั้งสิ้น สำหรับฮอบส์แล้วคนที่มีอำนาจเรียกได้อย่างถูกต้อง และต้องถือว่าเป็นความเห็นที่ยุติคือ “รัฏฐาธิปัตย์” คำอธิบายข้อนี้เห็นจะตรงกับสุภาษิตโบราณของไทยที่ว่า “ของสิ่งใดเจ้าว่างามต้องตามเจ้า ใครเลยเล่าจะไม่งามตามเสด็จ”
หลักจากสมัยฮอบส์เป็นต้นมา ผู้นิยมในสำนักความคิดทางกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ อาทิเช่น จอห์น ออสติน เป็นต้น ออสตินเป็นศาสตราจารย์ทางปรัชญากฎหมายซึ่งไม่ยอมเชื่อในกฎหมายธรรมชาติ และสิทธิธรรมชาติออสตินกล่าวว่า กฎหมายคือคำสั่งคำบัญชาของรัฏฐาธิปัตย์ซึ่งสั่งแก่ราษฎรทั้งหลาย ถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม ผู้นั้นต้องรับโทษา
อิมมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant) และ แฮนส์ เคลเส้น (Hans Kelsen) เป็นนักปรัชญากฎหมายยุโรปตะวันออกในยุคหลังที่มีส่วนทำให้กฎหมายฝ่ายบ้านเมืองมีอิทธิพลมากขึ้น โดยค้านท์ตั้งทฤษฎีเด็ดขาด (The Absolute Theory) และเคลเส้นตั้งทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ (The Pure Law Theory) ขึ้นอธิบายขยายความสำนักความคิดทางกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองให้พิสดารออกไปยิ่งขึ้น
Cr / http://tayucases.blogspot.com/2011/02/blog-post_1108.html
วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2561
สรุปย่อวิชานิติปรัชญา ตอนที่ 1
สำนักความคิดในทางกฎหมายธรรมชาติ (School of Natural Law)
1. ความหมาย
กฎหมายธรรมชาติ หมายถึง กฎหมายซึ่งเกิดจากธรรมชาติมีอยู่แล้วในธรรมชาติและมีอำนาจบังคับตามธรรมชาติ และด้วยเหตุที่ธรรมชาติย่อมเป็นสิ่งสากล และอยู่เหนือมนุษย์ สำนักความคิดนี้จึงเชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติอยู่เหนือกฎหมายของมนุษย์ และใช้ได้ไม่จำกัดเวลาหรือสถานที่
โดยทั่วไปแล้ว สาระสำคัญของกฎหมายธรรมชาติอยู่ที่ข้อพิจารณาคุณค่าของการกระทำว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด คำว่า “ถูก” หรือ “ผิด” ในที่นี้หมายถึงคุณค่าทางจริยธรรม
สำหรับคำว่า “ธรรมชาติ” (nature) นั้น ปรัชญาเมธีแต่ละคนต่างมีความเห็นต่างกันออกไปดังนี้
(1) เดิมเข้าใจว่าธรรมชาติก็คือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เช่น ความร้อย แสงสว่าง นั่นเอง
(2) ต่อมาเริ่มมีผู้นำความคิดเรื่องธรรมชาติไปปะปนกับคตินิยมทางศาสนาและลัทธิต่าง ๆ จึงเกิคความคิดขึ้นว่าธรรมชาติคือพระผู้เป็นเจ้า
(3) ในที่สุดก็ได้มีผู้เห็นว่าธรรมชาตินั้นคือความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดีของมนุษย์เอง เช่น การที่รัฐออกกฎหมายมากดขี่ย่มเหงประชาชน โดยเก็บภาษีสูงหรือวางบทลงโทษที่ทารุณโหดร้ายนั้นย่อมขัดต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือความเป็นธรรมในสายตาของคนทั่วไป กฎหมายของมนุษย์นั้นจึงขัดต่อกฎหมายธรรมชาติ
2. กำเนิดและวิวัฒนาการ
ความคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติมีเค้าเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยกรีก ดังจะเห็นได้จากบทละครของโสโฟคลีส (Sophocles) เรื่องแอนติโกนี (Antigone) ซึ่งแต่งขึ้นในสมัยกรีกเพื่อประชดสังคมและพรรณนาความคิดเห็นทางกฎหมายและการเมืองของปรัชญาเมธีในสมัยนั้น บทละครเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนพระเจ้าศรีออน (Creon) ประกาศใช้กฎหมายฉบับหนึ่ง ต่อมาแอนติโกนีนางเอกของเรื่องได้คัดค้านกฎหมายของพระเจ้าศรีออนใช้กฎหมายฉบับหนึ่ง ต่อมาแอนติโกนีนางเอกของเรื่องได้คัดค้านกฎหมายของพระเจ้าศรีออนเพราะถือว่าขัดกับกฎธรรมชาติและสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ แอนติโกนีทอุทธรณ์ว่าพี่ชายของเธอควรได้รับการปลงศพอย่างสมเกียรติ พระราชาไม่มีสิทธิห้ามญาติมิตรไปร่วมพิธีปลงศพผู้ตาย เนื้อเรื่องบทละครดังกล่าวเป็นเรื่องแปลและผิดสมัยอย่างยิ่ง เพราะชาวกรีกไม่ยอมรับทฤษฎีที่ว่ามีกฎหมายอื่นใดสูงไปกว่ากฎหมายของทางการบ้านเมืองอีก
แนวความคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติ (natural law) เป็นผลพลอยได้จากแนวความคิดเรื่องสิทธิธรรมชาติ (natural right) ปรัชญาเมธีในอดีตคิดค้นและกล่าวอ้างเรื่องสิทธิธรรมชาติขึ้นเพื่ออ้างชัยชนะหรือสถานะที่เหนือกว่าสิทธิตามกฎหมาย เช่น กฎหมายให้สิทธิเสรีภาพในระดับหนึ่ง แต่ปรัชญาเมธีกลับเห็นว่าสิทธิเสรีภาพในระดับนี้น้อยเกินไปควรมีมากกว่านี้ ครั้นจะอ้างสิทธิเสรีภาพในตัวบทกฎหมายอื่นใดก็เป็นอันหมดสิ้น ไม่มีให้อ้างอีกแล้ว ในที่สุดจึงต้องอ้าง “สิทธิธรรมชาติ” ซึ่งกล่าวว่าเกิดขึ้น และมีอยู่ตามธรรมชาติ กล่าวคือเกิดเอง มีมาเอง โดยไม่มีผู้ใดสร้างขึ้น และไม่ว่ามนุษย์จะไปเกิดอยู่ที่ใด เวลาใดสิทธิดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่เป็นนิรันดร ครั้นนานเข้าเมื่อมีสิทธิธรรมชาติได้ก็มีหน้าที่ตามธรรมชาติ และคุณค่าต่าง ๆ ตามธรรมชาติเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นสาระของกฎหมายธรรมชาติ
เปลโต้ (Plato) เป็นปรัชญาเมธีคนแรกที่กล่าวอ้างถึงสิทธิธรรมชาติ แม้ไม่อาจเรียกได้ว่า เปลโต้เป็นนักกฎหมายธรรมชาติคนแรกก็ตาม ในหนังสือเรื่อง “อุตมรัฐ” และ “กฎหมาย” เปลโต้ได้กล่าวถึงสิทธิธรรมชาติในความหมายว่า “สิ่งซึ่งถูกต้องเป็นธรรม” (something which is by nature just) เปลโต้ให้บทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ความถูกต้องเป็นธรรม” (justice) ว่าหมายถึง การประพฤติปฏิบัติกิจของตนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ด้วยเหตุนี้ สิทธิธรรมชาติจึงเป็นสิทธิที่ถูกต้องเป็นธรรมหรือควบคุมความประพฤติและการปฏิบัติกิจของมนุษย์ให้เป็นระเบียบและเรียบร้อย แนวความคิดนี้มีส่วนสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับ จริยศาสตร์มากกว่านิติศาสตร์ จึงมีผู้กล่าวว่าแม้เปลโต้จะกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้แต่ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของเรื่องสิทธิธรรมชาติ ดังที่เข้าใจกันในเวลาต่อมา
ปรัชญาเมธีคนต่อมาที่กล่าวถึงสิทธิธรรมชาติไว้ค่อนข้างใกล้เคียงกับความเข้าใจในปัจจุบัน คือ อริสโตเติล (Aristotle) ในหนังสือเรื่อง “จริยศาสตร์” (Ethies หรือ Nicomachean Ethics) อริสโตเติลได้อธิบายว่า สิทธิธรรมชาตินั้นมีอยู่จริง และเป็นสิทธิที่สถิติอยู่ทุกแห่งหน ทั้งปรากฎอยู่โดยไม่ต้องมีโองการหรือประกาศใด (Natural right is that right which has everywhere the same power and does not owe its validity to human enactment) อริสโตเติลกล่าวต่อไปว่า สิทธิตามกฎหมายบ้านเมือง (positive right) อาจมีมากหรือน้อยสุดแท้แต่ว่าเป็นอาณาจักรใด ปกครองด้วยระบบใด เช่น ประชาธิปไตยหรือคณาธิปไตย แต่สิทธิธรรมชาติย่อมเป็นสากลและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทุกอาณาจักรและทุกระบบการปกครอง
แนวความคิดเรื่องกฎหมรยธรรมชาติเริ่มเป็นระเบียบและวางรากฐานเป็นครั้งแรกในปลายสมัยกรีก เมื่อพวกสตออิค (Stoic) รุ่งเรืองขึ้น จนแผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปในโรมนักปรัชญาโรมันในสมัยนั้น ยอมรับความคิดนี้โดยมุ่งจะใช้เป็นข้อต่อรองหรือทุ่มเถียงกับผู้ปกครอง ซึ่งก้าวล่วงสิทธิของพลเมือง ซิเซโร (Cicero) เป็นนักปรัชญาคนสำคัญซึ่งอธิบายเรื่องนี้ไว้ในหนังสือชื่อ “กฎหมาย” (Laws) “สาธารณรัฐ” (Republic) “ธรรมชาติของพระเจ้า” (On the Nature of the Gods) และ “ความสิ้นสุดของความดีและสิ่งเลวร้าย” (On the End of the Good and Bad Things)
ไกอุส (Gaius) เป็นปรัชญาเมธีคนต่อมาที่กล่าวถึง “กฎหมายอันเป็นสากล” (Jusgentium) ซึ่งคงหมายถึง “กฎหมายธรรมชาติ” (Jus naturale) นั่นเอง แนวความคิดนี้มีอิทธิพลมากต่อการจัดทำประมวลกฎหมายของพระเจ้าจัสติเนี่ยนในเวลาต่อมา
คำว่า “Jus gentium” แปลว่า กฎหมายของประเทศต่าง ๆ (Law of nations) ซึ่งหมายถึงหลักกฎหมายที่นานาประเทศยอมรับนับถือว่าเป็นธรรมนั่นเอง หลักกฎหมายนี้คงตรงกับหลัก “equity” ในกฎหมายอังกฤษ “Jus gentium” ตรงกันข้ามกับคำว่า “Jus civile” ซึ่งหมายถึงกฎหมายที่บังคับใช้แก่พลเมืองในรัฐเท่านั้น ฉะนั้นในทรรศนะของปรัชญาเมธีชาวโรมัน “Jus civile” ย่อมแตกต่างกันไปตามรัฐต่าง ๆ ในขณะที่ “Jus gentium” ย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วไป นักปรัชญาในสมัยต่อมานิยมอ้างว่า “Jus gentium” คือกฎหมายธรรมชาติเพราะมีลักษณะเป็นสากล ส่วน “Jus civile” คือกฎหมายบ้านเมืองเพราะมีลักษณะเฉพาะ แต่บางครั้งก็ตีความกันไปว่า “Jus gentium” คือกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วน “Jus civile” คือกฎหมายภายใน
ในสมัยกลางคริสต์ศาสนาเริ่มรุ่งเรืองขึ้น ศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาอยู่ที่กรุงโรมซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตะปาปา (Pope) พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 7 เป็นปรัชญาเมธีคนแรกที่กล่าวอ้างถึงกฎหมายธรรมชาติว่ามีอยู่จริง แต่เป็นกฎหมายตามคำสอนในทางคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิกายโรมันคาธอลิค กล่าวอีกนัยหนึ่งคำว่า “ธรรมชาติ” (nature) ในที่นี้ก็คือ “พระผู้เป็นเจ้า” (God) นั่นเอง
นักบุญโธมัส อไควนัส (St. Thomas Aquinas) เป็นปรัชญาเมธีทางกฎหมายธรรมชาติที่สำคัญอีกผู้หนึ่ง นักบุญผู้นี้อธิบายปรัชญากฎหมายธรรมชาติอย่างละเอียดชัดเจนที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อไควนัส กล่าวว่ากฎหมายของมนุษย์ที่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายธรรมชาติย่อมไม่มีสภาพบังคับอย่างกฎหมาย (A human law that disagrees with natural law does not have the force of law) อไควนัสยืนยันในความคิดเห็นของพระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 7 ที่ว่ากฎหมายธรรมชาติคือกฎหมายของพระผู้เป็นเจ้า โดยอธิบายว่า บัญญัติสิบประการในคริสต์ศาสนาเป็นแม่บทของกฎหมายทั่วโลกหรือเป็นบทบัญญัติสากล กล่าวได้ว่า อไควนัสเป็นผู้นำเอาทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติเข้ามารวมกับหลักธรรมในทางคริสศาสนา และได้วางรากฐานเป็นปึกแผ่นนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติเป็นที่นิยมกันมาก และถูกนำมาสนับสนุนความเห็นของผู้อ้างมาก นับแต่สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการก่อการปฏิวัติเพื่อล้มล้างอำนาจอธรรมของประมุข ไม่ว่าในอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 1776 ในฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ. 1789 หรือในรุสเซีย เมื่อ ค.ศ. 1917 ก็ตาม
3. ลักษณะของกฎหมายธรรมชาติ
ตามที่ได้อธิบายมาข้างต้นนี้อาจกล่าวได้ว่ากฎหมายธรรมชาติมีลักษณะดังนี้คือ
(1) กฎหมายธรรมชาติใช้ได้โดยไม่จำกัดเวลา
(2) กฎหมายธรรมชาติใช้ได้โดยไม่จำกัดสถานที่
(3) กฎหมายธรรมชาติอยู่เหนือกฎหมายของรัฐ ถ้ารัฐออกกฎหมายขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายนั้นก็ใช้บังคับไม่ได้
จะเห็นได้ว่าคำอธิบายลักษณะของกฎหมายธรรมชาติค่อนข้างเป็นเรื่องอุดมคติ แต่จุดมุ่งหมายของคำอธิบายลักษณะดังกล่าวคือ ต้องการแสดงว่ากฎหมายธรรมชาติเป็นสัจจธรรมและอยู่ได้ทุกกาลเวลา เช่น การฆ่าคนย่อมขัดต่อกฎหมายธรรมชาติ ไม่ว่าในประเทศใดและในสมัยใด เป็นต้น
4. เนื้อหาสาระของกฎหมายธรรมชาติ
ดังได้กล่าวแล้วว่ากฎหมายธรรมชาติว่าด้วยเรื่องความถูกต้องและความผิดซึ่งเป็นคุณค่าทางจริยธรรม เช่นกฎหมายของรัฐว่าด้วยเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง (unjust) หรือการกระทำของรัฐบาลในเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง เป็นต้น ส่วนที่ว่าจะวัดได้อย่างไร หรือทราบได้อย่างไรนั้นคำตอบย่อมมีว่าต้องใช้มาตรฐานหรือกฎทางธรรมชาติมาเป็นเครื่องวัด ปัญหาต่อไปมีว่าแล้วกฎธรรมชาติอยู่ที่ไหน ข้อนี้ย่อมขึ้นอยู่กับความเข้าใจว่า “ธรรมชาติ” คืออะไร เนื้อหาสาระของกฎหมายธรรมชาติ จึงแตกต่างออกไปตามความเชื่อในเรื่อง “ธรรมชาติ” เช่น ผู้ที่เชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเกิดจากพระผู้เป็นเจ้า ย่อมเชื่อในเรื่องกฎเกณฑ์การบังคับบัญชาหรือการปกครองโดยผู้มีอำนาจสูงกว่า ส่วนผู้ที่เชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเกิดจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ย่อมเชื่อในหลักความเสมอภาคและเสรีภาพ หรือผู้ที่เชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเกิดจากพระผู้เป็นเจ้าย่อมถือว่าการหย่าขาดจากการสมรสเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่ผู้ที่เชื่อในหลักความเสมอภาคและเสรีภาพ หรือผู้ที่เชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเกิดจากพระผู้เป็นเจ้าย่อมถือว่าการหย่าขาดจากการสมรสเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่ผู้ที่เชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเกิดจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ย่อมถือว่าการหย่าขาดจากการสมรสเป็นเจตนารมณ์อิสระ (free will) ของมนุษย์ และพึงกระทำได้โดยใจสมัครดังนี้เป็นต้น ความแตกต่างกันในเรื่องความเชื่อเหล่านี้มีอิทธิพลมากต่อระบบกฎหมายของแต่ละประเทศ เช่น ในอิตาลี สเปน และกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ซึ่งชนส่วนใหญ่นับถือคริสศาสนนิกายโรมันคาธอลิค
สำนักความคิดทางกฎหมายธรรมชาติมีอิทธิพลมากในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการประกาศอิสรภาพ ในปี ค.ศ. 1776 ดังเห็นได้จากการที่ปรัชญาเมธีหลายคนในขณะนั้นต่างเป็นนักนิยมกฎหมายธรรมชาติทั้งสิ้น เช่น เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson0 แมดิสัน (James Madison) มาร์แชล (John Marshall) เป็นต้น แม้ในคำประกาศอิสรภาพเองก็ยังเท้าความถึงสิทธิตามธรรมชาติ และกฎหมายธรรมชาติ ดังเห็นได้จากข้อความที่ว่าชาวอาณานิคมในดินแดนอเมริกา ถือว่าเป็นสิทธิโดยชอบธรรมตามธรรมชาติในอันที่ลุกขึ้นต่อต้านอำนาจอันอยุติธรรมของกษัตริย์อังกฤษ และขอความเห็นใจจากประเทศทั้งหลาย ว่าที่ต้องก่อการดังนี้ เพราะเป็นภาวะที่สุดแสนจะทนทานจริง ๆ
ในปัจจุบัน แม้จะไม่มีรัฐใดยอมรับในความมีอำนาจสูงสุดของกฎหมายธรรมชาติ (The supremacy of natural law) เพราะถ้ายอมรับเช่นนั้นแล้วจะทำให้คริสต์ศาสนาหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์บางกลุ่มหรือบางคนมีอิทธิพลเหนือกฎหมายของรัฐ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ได้มีความคิดขึ้นว่า แม้กฎหมายธรรมชาติจะไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่แต่ในทางทฤษฎีเท่านั้นก็ตาม แต่ทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติก็ไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยที่สุดก็สามารถใช้ต่อรองกับผู้ปกครองไม่ให้ทำการเกินขอบเขตไปได้บ้าง ในที่สุดจึงเห็นกันว่า ควรจะมีหลักเกณฑ์กลาง ๆ สำหรับรัฐและประชาชนทั้งหลายให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบเดียวกัน แหลักเกณฑ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความสมัครใจของรัฐและประชาชนทั้งหลายเอง
Cr / http://tayucases.blogspot.com/2011/02/blog-post_1108.html
1. ความหมาย
กฎหมายธรรมชาติ หมายถึง กฎหมายซึ่งเกิดจากธรรมชาติมีอยู่แล้วในธรรมชาติและมีอำนาจบังคับตามธรรมชาติ และด้วยเหตุที่ธรรมชาติย่อมเป็นสิ่งสากล และอยู่เหนือมนุษย์ สำนักความคิดนี้จึงเชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติอยู่เหนือกฎหมายของมนุษย์ และใช้ได้ไม่จำกัดเวลาหรือสถานที่
โดยทั่วไปแล้ว สาระสำคัญของกฎหมายธรรมชาติอยู่ที่ข้อพิจารณาคุณค่าของการกระทำว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด คำว่า “ถูก” หรือ “ผิด” ในที่นี้หมายถึงคุณค่าทางจริยธรรม
สำหรับคำว่า “ธรรมชาติ” (nature) นั้น ปรัชญาเมธีแต่ละคนต่างมีความเห็นต่างกันออกไปดังนี้
(1) เดิมเข้าใจว่าธรรมชาติก็คือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เช่น ความร้อย แสงสว่าง นั่นเอง
(2) ต่อมาเริ่มมีผู้นำความคิดเรื่องธรรมชาติไปปะปนกับคตินิยมทางศาสนาและลัทธิต่าง ๆ จึงเกิคความคิดขึ้นว่าธรรมชาติคือพระผู้เป็นเจ้า
(3) ในที่สุดก็ได้มีผู้เห็นว่าธรรมชาตินั้นคือความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดีของมนุษย์เอง เช่น การที่รัฐออกกฎหมายมากดขี่ย่มเหงประชาชน โดยเก็บภาษีสูงหรือวางบทลงโทษที่ทารุณโหดร้ายนั้นย่อมขัดต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือความเป็นธรรมในสายตาของคนทั่วไป กฎหมายของมนุษย์นั้นจึงขัดต่อกฎหมายธรรมชาติ
2. กำเนิดและวิวัฒนาการ
ความคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติมีเค้าเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยกรีก ดังจะเห็นได้จากบทละครของโสโฟคลีส (Sophocles) เรื่องแอนติโกนี (Antigone) ซึ่งแต่งขึ้นในสมัยกรีกเพื่อประชดสังคมและพรรณนาความคิดเห็นทางกฎหมายและการเมืองของปรัชญาเมธีในสมัยนั้น บทละครเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนพระเจ้าศรีออน (Creon) ประกาศใช้กฎหมายฉบับหนึ่ง ต่อมาแอนติโกนีนางเอกของเรื่องได้คัดค้านกฎหมายของพระเจ้าศรีออนใช้กฎหมายฉบับหนึ่ง ต่อมาแอนติโกนีนางเอกของเรื่องได้คัดค้านกฎหมายของพระเจ้าศรีออนเพราะถือว่าขัดกับกฎธรรมชาติและสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ แอนติโกนีทอุทธรณ์ว่าพี่ชายของเธอควรได้รับการปลงศพอย่างสมเกียรติ พระราชาไม่มีสิทธิห้ามญาติมิตรไปร่วมพิธีปลงศพผู้ตาย เนื้อเรื่องบทละครดังกล่าวเป็นเรื่องแปลและผิดสมัยอย่างยิ่ง เพราะชาวกรีกไม่ยอมรับทฤษฎีที่ว่ามีกฎหมายอื่นใดสูงไปกว่ากฎหมายของทางการบ้านเมืองอีก
แนวความคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติ (natural law) เป็นผลพลอยได้จากแนวความคิดเรื่องสิทธิธรรมชาติ (natural right) ปรัชญาเมธีในอดีตคิดค้นและกล่าวอ้างเรื่องสิทธิธรรมชาติขึ้นเพื่ออ้างชัยชนะหรือสถานะที่เหนือกว่าสิทธิตามกฎหมาย เช่น กฎหมายให้สิทธิเสรีภาพในระดับหนึ่ง แต่ปรัชญาเมธีกลับเห็นว่าสิทธิเสรีภาพในระดับนี้น้อยเกินไปควรมีมากกว่านี้ ครั้นจะอ้างสิทธิเสรีภาพในตัวบทกฎหมายอื่นใดก็เป็นอันหมดสิ้น ไม่มีให้อ้างอีกแล้ว ในที่สุดจึงต้องอ้าง “สิทธิธรรมชาติ” ซึ่งกล่าวว่าเกิดขึ้น และมีอยู่ตามธรรมชาติ กล่าวคือเกิดเอง มีมาเอง โดยไม่มีผู้ใดสร้างขึ้น และไม่ว่ามนุษย์จะไปเกิดอยู่ที่ใด เวลาใดสิทธิดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่เป็นนิรันดร ครั้นนานเข้าเมื่อมีสิทธิธรรมชาติได้ก็มีหน้าที่ตามธรรมชาติ และคุณค่าต่าง ๆ ตามธรรมชาติเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นสาระของกฎหมายธรรมชาติ
เปลโต้ (Plato) เป็นปรัชญาเมธีคนแรกที่กล่าวอ้างถึงสิทธิธรรมชาติ แม้ไม่อาจเรียกได้ว่า เปลโต้เป็นนักกฎหมายธรรมชาติคนแรกก็ตาม ในหนังสือเรื่อง “อุตมรัฐ” และ “กฎหมาย” เปลโต้ได้กล่าวถึงสิทธิธรรมชาติในความหมายว่า “สิ่งซึ่งถูกต้องเป็นธรรม” (something which is by nature just) เปลโต้ให้บทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ความถูกต้องเป็นธรรม” (justice) ว่าหมายถึง การประพฤติปฏิบัติกิจของตนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ด้วยเหตุนี้ สิทธิธรรมชาติจึงเป็นสิทธิที่ถูกต้องเป็นธรรมหรือควบคุมความประพฤติและการปฏิบัติกิจของมนุษย์ให้เป็นระเบียบและเรียบร้อย แนวความคิดนี้มีส่วนสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับ จริยศาสตร์มากกว่านิติศาสตร์ จึงมีผู้กล่าวว่าแม้เปลโต้จะกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้แต่ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของเรื่องสิทธิธรรมชาติ ดังที่เข้าใจกันในเวลาต่อมา
ปรัชญาเมธีคนต่อมาที่กล่าวถึงสิทธิธรรมชาติไว้ค่อนข้างใกล้เคียงกับความเข้าใจในปัจจุบัน คือ อริสโตเติล (Aristotle) ในหนังสือเรื่อง “จริยศาสตร์” (Ethies หรือ Nicomachean Ethics) อริสโตเติลได้อธิบายว่า สิทธิธรรมชาตินั้นมีอยู่จริง และเป็นสิทธิที่สถิติอยู่ทุกแห่งหน ทั้งปรากฎอยู่โดยไม่ต้องมีโองการหรือประกาศใด (Natural right is that right which has everywhere the same power and does not owe its validity to human enactment) อริสโตเติลกล่าวต่อไปว่า สิทธิตามกฎหมายบ้านเมือง (positive right) อาจมีมากหรือน้อยสุดแท้แต่ว่าเป็นอาณาจักรใด ปกครองด้วยระบบใด เช่น ประชาธิปไตยหรือคณาธิปไตย แต่สิทธิธรรมชาติย่อมเป็นสากลและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทุกอาณาจักรและทุกระบบการปกครอง
แนวความคิดเรื่องกฎหมรยธรรมชาติเริ่มเป็นระเบียบและวางรากฐานเป็นครั้งแรกในปลายสมัยกรีก เมื่อพวกสตออิค (Stoic) รุ่งเรืองขึ้น จนแผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปในโรมนักปรัชญาโรมันในสมัยนั้น ยอมรับความคิดนี้โดยมุ่งจะใช้เป็นข้อต่อรองหรือทุ่มเถียงกับผู้ปกครอง ซึ่งก้าวล่วงสิทธิของพลเมือง ซิเซโร (Cicero) เป็นนักปรัชญาคนสำคัญซึ่งอธิบายเรื่องนี้ไว้ในหนังสือชื่อ “กฎหมาย” (Laws) “สาธารณรัฐ” (Republic) “ธรรมชาติของพระเจ้า” (On the Nature of the Gods) และ “ความสิ้นสุดของความดีและสิ่งเลวร้าย” (On the End of the Good and Bad Things)
ไกอุส (Gaius) เป็นปรัชญาเมธีคนต่อมาที่กล่าวถึง “กฎหมายอันเป็นสากล” (Jusgentium) ซึ่งคงหมายถึง “กฎหมายธรรมชาติ” (Jus naturale) นั่นเอง แนวความคิดนี้มีอิทธิพลมากต่อการจัดทำประมวลกฎหมายของพระเจ้าจัสติเนี่ยนในเวลาต่อมา
คำว่า “Jus gentium” แปลว่า กฎหมายของประเทศต่าง ๆ (Law of nations) ซึ่งหมายถึงหลักกฎหมายที่นานาประเทศยอมรับนับถือว่าเป็นธรรมนั่นเอง หลักกฎหมายนี้คงตรงกับหลัก “equity” ในกฎหมายอังกฤษ “Jus gentium” ตรงกันข้ามกับคำว่า “Jus civile” ซึ่งหมายถึงกฎหมายที่บังคับใช้แก่พลเมืองในรัฐเท่านั้น ฉะนั้นในทรรศนะของปรัชญาเมธีชาวโรมัน “Jus civile” ย่อมแตกต่างกันไปตามรัฐต่าง ๆ ในขณะที่ “Jus gentium” ย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วไป นักปรัชญาในสมัยต่อมานิยมอ้างว่า “Jus gentium” คือกฎหมายธรรมชาติเพราะมีลักษณะเป็นสากล ส่วน “Jus civile” คือกฎหมายบ้านเมืองเพราะมีลักษณะเฉพาะ แต่บางครั้งก็ตีความกันไปว่า “Jus gentium” คือกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วน “Jus civile” คือกฎหมายภายใน
ในสมัยกลางคริสต์ศาสนาเริ่มรุ่งเรืองขึ้น ศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาอยู่ที่กรุงโรมซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตะปาปา (Pope) พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 7 เป็นปรัชญาเมธีคนแรกที่กล่าวอ้างถึงกฎหมายธรรมชาติว่ามีอยู่จริง แต่เป็นกฎหมายตามคำสอนในทางคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิกายโรมันคาธอลิค กล่าวอีกนัยหนึ่งคำว่า “ธรรมชาติ” (nature) ในที่นี้ก็คือ “พระผู้เป็นเจ้า” (God) นั่นเอง
นักบุญโธมัส อไควนัส (St. Thomas Aquinas) เป็นปรัชญาเมธีทางกฎหมายธรรมชาติที่สำคัญอีกผู้หนึ่ง นักบุญผู้นี้อธิบายปรัชญากฎหมายธรรมชาติอย่างละเอียดชัดเจนที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อไควนัส กล่าวว่ากฎหมายของมนุษย์ที่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายธรรมชาติย่อมไม่มีสภาพบังคับอย่างกฎหมาย (A human law that disagrees with natural law does not have the force of law) อไควนัสยืนยันในความคิดเห็นของพระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 7 ที่ว่ากฎหมายธรรมชาติคือกฎหมายของพระผู้เป็นเจ้า โดยอธิบายว่า บัญญัติสิบประการในคริสต์ศาสนาเป็นแม่บทของกฎหมายทั่วโลกหรือเป็นบทบัญญัติสากล กล่าวได้ว่า อไควนัสเป็นผู้นำเอาทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติเข้ามารวมกับหลักธรรมในทางคริสศาสนา และได้วางรากฐานเป็นปึกแผ่นนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติเป็นที่นิยมกันมาก และถูกนำมาสนับสนุนความเห็นของผู้อ้างมาก นับแต่สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการก่อการปฏิวัติเพื่อล้มล้างอำนาจอธรรมของประมุข ไม่ว่าในอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 1776 ในฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ. 1789 หรือในรุสเซีย เมื่อ ค.ศ. 1917 ก็ตาม
3. ลักษณะของกฎหมายธรรมชาติ
ตามที่ได้อธิบายมาข้างต้นนี้อาจกล่าวได้ว่ากฎหมายธรรมชาติมีลักษณะดังนี้คือ
(1) กฎหมายธรรมชาติใช้ได้โดยไม่จำกัดเวลา
(2) กฎหมายธรรมชาติใช้ได้โดยไม่จำกัดสถานที่
(3) กฎหมายธรรมชาติอยู่เหนือกฎหมายของรัฐ ถ้ารัฐออกกฎหมายขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายนั้นก็ใช้บังคับไม่ได้
จะเห็นได้ว่าคำอธิบายลักษณะของกฎหมายธรรมชาติค่อนข้างเป็นเรื่องอุดมคติ แต่จุดมุ่งหมายของคำอธิบายลักษณะดังกล่าวคือ ต้องการแสดงว่ากฎหมายธรรมชาติเป็นสัจจธรรมและอยู่ได้ทุกกาลเวลา เช่น การฆ่าคนย่อมขัดต่อกฎหมายธรรมชาติ ไม่ว่าในประเทศใดและในสมัยใด เป็นต้น
4. เนื้อหาสาระของกฎหมายธรรมชาติ
ดังได้กล่าวแล้วว่ากฎหมายธรรมชาติว่าด้วยเรื่องความถูกต้องและความผิดซึ่งเป็นคุณค่าทางจริยธรรม เช่นกฎหมายของรัฐว่าด้วยเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง (unjust) หรือการกระทำของรัฐบาลในเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง เป็นต้น ส่วนที่ว่าจะวัดได้อย่างไร หรือทราบได้อย่างไรนั้นคำตอบย่อมมีว่าต้องใช้มาตรฐานหรือกฎทางธรรมชาติมาเป็นเครื่องวัด ปัญหาต่อไปมีว่าแล้วกฎธรรมชาติอยู่ที่ไหน ข้อนี้ย่อมขึ้นอยู่กับความเข้าใจว่า “ธรรมชาติ” คืออะไร เนื้อหาสาระของกฎหมายธรรมชาติ จึงแตกต่างออกไปตามความเชื่อในเรื่อง “ธรรมชาติ” เช่น ผู้ที่เชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเกิดจากพระผู้เป็นเจ้า ย่อมเชื่อในเรื่องกฎเกณฑ์การบังคับบัญชาหรือการปกครองโดยผู้มีอำนาจสูงกว่า ส่วนผู้ที่เชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเกิดจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ย่อมเชื่อในหลักความเสมอภาคและเสรีภาพ หรือผู้ที่เชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเกิดจากพระผู้เป็นเจ้าย่อมถือว่าการหย่าขาดจากการสมรสเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่ผู้ที่เชื่อในหลักความเสมอภาคและเสรีภาพ หรือผู้ที่เชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเกิดจากพระผู้เป็นเจ้าย่อมถือว่าการหย่าขาดจากการสมรสเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่ผู้ที่เชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเกิดจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ย่อมถือว่าการหย่าขาดจากการสมรสเป็นเจตนารมณ์อิสระ (free will) ของมนุษย์ และพึงกระทำได้โดยใจสมัครดังนี้เป็นต้น ความแตกต่างกันในเรื่องความเชื่อเหล่านี้มีอิทธิพลมากต่อระบบกฎหมายของแต่ละประเทศ เช่น ในอิตาลี สเปน และกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ซึ่งชนส่วนใหญ่นับถือคริสศาสนนิกายโรมันคาธอลิค
สำนักความคิดทางกฎหมายธรรมชาติมีอิทธิพลมากในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการประกาศอิสรภาพ ในปี ค.ศ. 1776 ดังเห็นได้จากการที่ปรัชญาเมธีหลายคนในขณะนั้นต่างเป็นนักนิยมกฎหมายธรรมชาติทั้งสิ้น เช่น เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson0 แมดิสัน (James Madison) มาร์แชล (John Marshall) เป็นต้น แม้ในคำประกาศอิสรภาพเองก็ยังเท้าความถึงสิทธิตามธรรมชาติ และกฎหมายธรรมชาติ ดังเห็นได้จากข้อความที่ว่าชาวอาณานิคมในดินแดนอเมริกา ถือว่าเป็นสิทธิโดยชอบธรรมตามธรรมชาติในอันที่ลุกขึ้นต่อต้านอำนาจอันอยุติธรรมของกษัตริย์อังกฤษ และขอความเห็นใจจากประเทศทั้งหลาย ว่าที่ต้องก่อการดังนี้ เพราะเป็นภาวะที่สุดแสนจะทนทานจริง ๆ
ในปัจจุบัน แม้จะไม่มีรัฐใดยอมรับในความมีอำนาจสูงสุดของกฎหมายธรรมชาติ (The supremacy of natural law) เพราะถ้ายอมรับเช่นนั้นแล้วจะทำให้คริสต์ศาสนาหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์บางกลุ่มหรือบางคนมีอิทธิพลเหนือกฎหมายของรัฐ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ได้มีความคิดขึ้นว่า แม้กฎหมายธรรมชาติจะไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่แต่ในทางทฤษฎีเท่านั้นก็ตาม แต่ทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติก็ไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยที่สุดก็สามารถใช้ต่อรองกับผู้ปกครองไม่ให้ทำการเกินขอบเขตไปได้บ้าง ในที่สุดจึงเห็นกันว่า ควรจะมีหลักเกณฑ์กลาง ๆ สำหรับรัฐและประชาชนทั้งหลายให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบเดียวกัน แหลักเกณฑ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความสมัครใจของรัฐและประชาชนทั้งหลายเอง
Cr / http://tayucases.blogspot.com/2011/02/blog-post_1108.html
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561
ธงคำตอบวิชา Law ของคณะภาคต่างๆ
( ธงภาค 2/2559 )
https://www.facebook.com/vin.kung/media_set?set=a.1570652166302624.1073741853.100000735673981&type=3
( ธงภาค S/2559 )
https://www.facebook.com/vin.kung/media_set?set=a.1570675519633622.1073741854.100000735673981&type=3
( ธงภาค 1/2560 )
https://www.facebook.com/vin.kung/media_set?set=a.1716994985001674.1073741857.100000735673981&type=3
วันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561
การทำเรื่องขอจบ คณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง
การขอจบ นิติฯราม
(ถ้าตกหล่นต้องขออภัย เรียบเรียงจากความจำ)
1.เมื่อเกรด เทอมสุดท้ายประกาศที่บอร์ด (ต้องระบุด้วยว่าขอจบ..แต่ถ้าไม่ได้ระบุตอนลทะเบียนเทอมสุดทัาย ก็ไม่เป็นอะไร สามารถไปแก้ไขทีหลังได้)
2.ให้ติดต่อที่คณะ เพื่อยื่นเรื่องขอจบ โดยต้องเตรียมดังนี้
2.1.รูปถ่าย ชุดนักศึกษา 3 รูป (เขียนชื่อ นามสกุลด้านหลัง)
2.1.รูปถ่าย ชุดนักศึกษา 3 รูป (เขียนชื่อ นามสกุลด้านหลัง)
( แนะนำร้านจักรวาลอยู่หน้ารามขึ้นสะพานลอยตรงข้ามซอย 53 ลงมาแล้วลงบันไดซ้ายเดินมาเรื่อยๆก็จะเจอครับถ่ายเสร็จรอประมาณ 1 ชั่วโมง ในช่วงที่มีเวลานั้นให้ไปดำเนินเรื่องภายในมหาลัยตามข้อที่ 2.2-2.5 แล้วค่อยไปรับรูปถ่ายเพื่อไปดำเนินการตามข้อถัดไปครับ )
2.2. ใบบันทึกภาวะการมีงานทำ ไปกรอกที่ลิงค์นี้ และพิมพ์ออก ( แนะนำให้ทำมาจากบ้านเพื่อความรวดเร็วกว่าทำที่มหาลัย ) http://www.mis.ru.ac.th/policy/std/Login_Graduate.jsp ( ลิ้งค์เว็บ )
2.3 สำเนาใบเสร็จลงทบ.เรียน 3 ภาคเรียนย้อนหลัง (รวมเทอมซ่อมด้วย)
2.4 สำเนาบัตรประชาชน (เซนต์สำเนาถูกต้อง)
2.5 สำเนาบัตรนักศึกษา (เซนต์สำเนาถูกต้อง)
2.6 ใบเสร็จที่ชำระเงิน @กองคลัง ตึกอธิการบดี สำหรับรับรองนักศึกษา
2.2. ใบบันทึกภาวะการมีงานทำ ไปกรอกที่ลิงค์นี้ และพิมพ์ออก ( แนะนำให้ทำมาจากบ้านเพื่อความรวดเร็วกว่าทำที่มหาลัย ) http://www.mis.ru.ac.th/policy/std/Login_Graduate.jsp ( ลิ้งค์เว็บ )
2.3 สำเนาใบเสร็จลงทบ.เรียน 3 ภาคเรียนย้อนหลัง (รวมเทอมซ่อมด้วย)
2.4 สำเนาบัตรประชาชน (เซนต์สำเนาถูกต้อง)
2.5 สำเนาบัตรนักศึกษา (เซนต์สำเนาถูกต้อง)
2.6 ใบเสร็จที่ชำระเงิน @กองคลัง ตึกอธิการบดี สำหรับรับรองนักศึกษา
3.เขียนคำร้องขอแจ้งจบ (แบบฟอร์มอยู่ชั้น2 ตึกคณะ)
และแนบเอกสารในข้อ2 ยื่นไปพรัอมกัน
และแนบเอกสารในข้อ2 ยื่นไปพรัอมกัน
4.รอรับใบรับรองคณะ ตามนัด (ประมาน2-3สัปดาห์)
5.ระหว่างนี้ เช็คที่ http://approve.ru.ac.th/ เพื่อตรวจสอบรายชื่อที่สภาอนุมัติ และตรวจสอบขั้นตอนการขอจบการศึกษาไปด้วย
http://e-service.ru.ac.th:8088/e_services/frm.php
http://e-service.ru.ac.th:8088/e_services/frm.php
6.เมื่อสภาอนุมัติรายชื่อผู้สำเร็จการศึกษา ให้จำครั้งที่และลำดับที่ เพื่อ...
7.ยื่นขอรับใบรับรองสภา โดยต้อง
7.1 ชำระเงิน @กองคลัง ตึกอธิการบดี (ประมาน1200-1300฿)
7.2 นำใบเสร็จดังกว่าไปยื่น ช่อง5 ตึก สวป.ชั้น1 พร้องทั้ง
-รูปถ่ายชุดครุย 2นิ้ว 2รูป
-สำเนาบัตรนักศึกษา
7.3 รวมทั้งกรอกเอกสารอีก2ฉบับ เพื่อขอรับ ทรานสคริป และ ใบรับรองสภา
7.1 ชำระเงิน @กองคลัง ตึกอธิการบดี (ประมาน1200-1300฿)
7.2 นำใบเสร็จดังกว่าไปยื่น ช่อง5 ตึก สวป.ชั้น1 พร้องทั้ง
-รูปถ่ายชุดครุย 2นิ้ว 2รูป
-สำเนาบัตรนักศึกษา
7.3 รวมทั้งกรอกเอกสารอีก2ฉบับ เพื่อขอรับ ทรานสคริป และ ใบรับรองสภา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)